Sunday, June 12, 2011

รถที่ไม่มีวันตาย



เวสป้า (อังกฤษ:vespa)เวสป้าในภาษาอิตาลีแปลว่า ตัวต่อ ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซด์สกู้ตเตอร์ เริ่มผลิตที่เมืองปอนเตเดรา ในแคว้นทัสคานี ประเทศ อิตาลี ในปี ค.ศ.1946 โดย piaggio & co,s.p.a
หลัง สงครามโลกครั้งที่สอง piaggio ที่เติมโตในโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือและส่วนเครื่องบิน หันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายๆ ในแบบ four-part p108 ให้กับรถเวสป้าที่โรงงาน pontedera จึงเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะเล็กๆไว้เดินทางขนส่งภายในโรงงานคือ mp5 หรือโดนัลดัค ซึ่งในรุ่นนี้ทำจากซากชิ้นส่วนของเครื่องบิน มันคือ scooter รถ จักรยานยนต์คันเล็กๆ ที่มีล้อต่ำๆ ช่วยต่อการขับขี่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและราคาไม่แพงตอนสิ้นสุดสงครามโรงงาน ส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะผลิตอะไรได้ถนนและรางรถไฟถูกทำลายเรือต่าง ๆ ถูกทำลาย Tuscany มีร่องรอยมากมายจากสงครามรวมทั้งโรงงานของ Piaggio ที่เมือง Pontedera”Piaggio ถูกตั้งที่ Seastri Ponente ในเมืองเจนัวประเทศอิตาลีในปี ค.ศ.1881และเจริญเติบโตจนประสบผลสำเร็จภายใต้การผลักดันของ Rinaldo Piaggio ลูกค้าของ Enrico ผู้ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนของเรือด้วยความตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ทางเทคโนโลยี Rinaldo พยายามขยายส่วนของเขาออกไปจากการผลิตส่วนประกอบเรือ เขาจึงคิดเริ่มผลิตรางรถไฟ รถไฟ ปีค.ศ.1917 เขาได้เข้าทำกิจการต่อจากคนอื่นในการทำโรงงานผลิต เรือเร็วที่ Finale Ligune and Pisa ขณะที่มีสงครามลูกชายของเขาสองคนคือ Anmando และ Enrico ได้แบ่งกัน ทำธุรกิจ Anmando ควบคุม และจัดการ โรงงานที่ Sestri and Finale ส่วน Enrico ดูแลโรงงาน Tuscan ของ Pisa และPontedera หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 เหลือแต่โรงงาน Finale Ligure และบางส่วนของ SestriGenoa เท่านั้นความคิดดั้งเดิม Enrico จึงได้ตัดสินใจที่จะหยุดการผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินที่ยาก และเป็น งานซับซ้อนหันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายในแบบ Four – Part P 108 ให้กับรถเวสป้า ที่โรงงาน Pontedera ซึ่งเคยผลิต radial engine (สำหรับเครื่องบิน) ซึ่งทำลายสถิติที่ทำไว้แล้ว 21 ครั้งก่อน นาย Enrico ยังเห็น ภาพการปรักหักพัง ที่เกิดขึ้นสงครามติดตาอยู่เขาเข้าใจว่าการจะแข่งขันกับ North American Company เป็นเรื่องยาก เขาจึงคิดที่จะนำคนงานที่เคยเป็นหัวหน้าคนงานคนนั้นกลับมาด้วยการที่มี เครื่องยนต์ พิเศษเหลืออยู่เพียงน้อยนิด จึงเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะเล็ก ๆไว้เดินทางขนส่งและสำรวจใน โรงงานคือ MP5 หรือโดนัลดัค ซึ่งในรุ่นนี้ทำจากซากชิ้นส่วนของเครื่องบินดังนั้นรูปร่างมันจึงมีความน่า เกียจมากกว่าน่ารักอย่างเดียวกับที่พวกคนงานในโรงงาน เรียกเพราะมันมีรูปร่างแปลก ๆ มันคือ Scooter รถจักรยานยนต์คันเล็ก ๆ ที่มีล้อต่ำ ๆ ช่วยต่อการขับขี่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและราคาไม่แพง Enrico เห็นว่ารถจักรยานยนต์ใหม่ของเขาจะต้องทำให้คนอิตาลีหันมาขี่กันทั้ง ประเทศอิตาลีทั้งๆที่ประเทศอิตาลียังคงมีแต่ซากปรักหักพังและน้ำมันขาดแคลน CorradinoD’Ascanio ได้เป็นวิศวกรผู้ทำการออกแบบ และในเดือนธันวาคมปีค.ศ.1945.รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วย องค์ประกอบหลายอย่างที่สะดวกสบาย มีล้ออะไหล่ซึ่งขับขี่แบบง่ายๆถ้าในเวลาขับขี่รถติดก็มีที่กำบังกันน้ำ กระเด็นใส่จึงทำให้ประชาชนในประเทศอิตาลีเริ่มรู้จักรถจักรยานยนต์แบบ Scooter เมื่อ Enrico ได้ฟังเสียงรถ MP6 เขาร้องออกมาว่า”มันเหมือนตัวต่อ ร้องเลย”ตั้งแต่นั้นมา Enrico ก็เลยให้ชื่อเสียงเรียงนามเรียกรถนี้ว่า Vespa ซึ่งแปลว่าตัวต่อในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1946 Piaggio และ บริษัทของเขา ได้หยิบเอา ความคิดที่ดี ออกมาใช้ในการออกแบบ จากนั้นปีต่อ ๆ มาจึงผลิตรถเวสป้าในปีหนึ่งนั้น จะผลิตรถ vespa ออกมาหนึ่งรุ่นถึงสองรุ่น Dott. Enrico Piaggio เกิดเมื่อ 22 ก.พ. 1905 เป็นบุตรชายของ Rinaldo Piaggio จบการศึกษาที่ Genoa ทางด้าน Economic และ commerce เข้าร่วมธุรกิจของครอบครัว ในปี 1928 ตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน Pontedena ภายหลังในปี 1938 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง Enrico จึงได้รับภาระบริหารงานทั้งหมด University of Pisa มอบปริญญาเอกทางด้าน วิศวกรรมให้ Enrico เขาเสียชีวิตลงในปี 1965 หลังจากผลิตรถเวสป้า ส่งขายทั่วโลกครบ 1000000 คัน หลังสงครามโลกครั้งที่2 จบลง โรงงานของ Enrico ถูกทำลายจากาการทิ้งระเบิดของเยอรมัน ในช่วงของการฟื้นฟูเศรษฐกิจการต้องการพาหนะที่ประหยัด มีมากจึงทำให้ Enrico เกิดความคิดที่จะนำชิ้นส่วนต่างๆ ในโรงงานนี้มาสร้างพาหนะนั้นนะ ที่มีคุณสมบัติระหว่าง Motorbike กับรถยนต์ในเดือนเมษายนปี 1945 Corradino D’Ascanio นักออกแบบในโครงการนี้ได้ ร่างภาพออกมาตัวถัง ทำจากเหล็ก แผ่นที่มีสันกระดูกกลางใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก 4-5 แรงม้า วางอยู่ตำแหน่งหลังเพื่อป้องกันการสกปรก ไม่เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆๆไปที่นั่งมีบังลมป้องกันเสื้อผ้าและขาและ สิ่งหนึ่งที่เขาบุกเบิกคือ การเปลี่ยนเกียร์ ที่คันบังคับจากมือซ้ายและโยงไปยังเครื่อง เมื่อ Enrico ได้เห็นแบบร่างในครั้งแรกเขาตั้งชื่อมันว่า Vespa เพราะมีรูปร่างคล้ายๆๆตัวต่อ (Wasp) Classic Scooter คำว่า “scooter” ที่หมายถึงยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์นั้น มีการให้ความหมายกว้างขวางมาก หลายๆคนมองว่า scooter คือยานยนต์ที่มีล้อขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สีสรรสดใส และราคาประหยัด จุดเด่นของ scooter ก็คือเพื่อตอบสนองผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ทางช่าง scooter มีการวางจำหน่ายเป็นจำนวนมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
scooter รุ่นแรกที่มีเครื่องยนต์ขนาดเพียง 98 cc ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125 cc ,150 cc, 200 cc. ตามลำดับปีค.ศ.1945.รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วย องค์ประกอบหลายอย่างที่สะดวกสบาย มีล้ออะไหล่ซึ่งขับขี่แบบง่ายๆถ้าในเวลาขับขี่รถติดก็มีที่กำบังกันน้ำ กระเด็นใส่จึงทำให้ประชาชนในประเทศอิตาลีเริ่มรู้จักรถจักรยานยนต์แบบ Scooter เมื่อ Enrico ได้ฟังเสียงรถ MP6 เขาร้องออกมาว่า”มันเหมือนตัวต่อ ร้องเลย”ตั้งแต่นั้นมา Enrico ก็เลยให้ชื่อเสียงเรียงนามเรียกรถนี้ว่า Vespa ซึ่งแปลว่าตัวต่อในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1946 Piaggio และ บริษัทของเขา ได้หยิบเอา ความคิดที่ดี ออกมาใช้ในการออกแบบ จากนั้นปีต่อ ๆ มาจึงผลิตรถเวสป้าในปีหนึ่งนั้น จะผลิตรถ vespa ออกมาหนึ่งรุ่นถึงสองรุ่น Dott. Enrico Piaggio เกิดเมื่อ 22 ก.พ. 1905 เป็นบุตรชายของ Rinaldo Piaggio จบการศึกษาที่ Genoa ทางด้าน Economic และ commerce เข้าร่วมธุรกิจของครอบครัว ในปี 1928 ตำแหน่งผู้จัดการโรงงาน Pontedena ภายหลังในปี 1938 พ่อของเขาได้เสียชีวิตลง Enrico จึงได้รับภาระบริหารงานทั้งหมด University of Pisa มอบปริญญาเอกทางด้าน วิศวกรรมให้ Enrico เขาเสียชีวิตลงในปี 1965 หลังจากผลิตรถเวสป้า ส่งขายทั่วโลกครบ 1000000 คัน หลังสงครามโลกครั้งที่2 จบลง โรงงานของ Enrico ถูกทำลายจากาการทิ้งระเบิดของเยอรมัน ในช่วงของการฟื้นฟูเศรษฐกิจการต้องการพาหนะที่ประหยัด มีมากจึงทำให้ Enrico เกิดความคิดที่จะนำชิ้นส่วนต่างๆ ในโรงงานนี้มาสร้างพาหนะนั้นนะ ที่มีคุณสมบัติระหว่าง Motorbike กับรถยนต์ในเดือนเมษายนปี 1945 Corradino D’Ascanio นักออกแบบในโครงการนี้ได้ ร่างภาพออกมาตัวถัง ทำจากเหล็ก แผ่นที่มีสันกระดูกกลางใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก 4-5 แรงม้า วางอยู่ตำแหน่งหลังเพื่อป้องกันการสกปรก ไม่เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆๆไปที่นั่งมีบังลมป้องกันเสื้อผ้าและขาและ สิ่งหนึ่งที่เขาบุกเบิกคือ การเปลี่ยนเกียร์ ที่คันบังคับจากมือซ้ายและโยงไปยังเครื่อง เมื่อ Enrico ได้เห็นแบบร่างในครั้งแรกเขาตั้งชื่อมันว่า Vespa เพราะมีรูปร่างคล้ายๆๆตัวต่อ (Wasp) Classic Scooter คำว่า “scooter” ที่หมายถึงยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์นั้น มีการให้ความหมายกว้างขวางมาก หลายๆคนมองว่า scooter คือยานยนต์ที่มีล้อขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สีสรรสดใส และราคาประหยัด จุดเด่นของ scooter ก็ คือเพื่อตอบสนองผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ทางช่าง scooter มีการวางจำหน่ายเป็นจำนวนมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนกระทั่งเริ่ม มีการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กราคาถูกออกวางจำหน่าย ความนิยมในการใช้ scooter จึงลดน้อยลงผู้ครองตลาดการจำหน่าย scooter ในช่วงปี 1950 คือ บริษัทของอิตาลี 2 แห่งคือ piaggio และ innocenti ซึ่งเป็นผู้ผลิต vespa และ lambretta ทำให้เป็นที่อิจฉาของ ผู้ประกอบการรายอื่นทั่วโลก ในขนะที่ ยอดจำหน่ายสูงสุดของ scooter จะมีอายุเพียงสองทศวรรษเท่านั้น แต่โดยภาพรวมแล้ว scooter กลับมีอายุยืนนานถึงกว่า80ปี ข้อเขียนนี้เป็นการบรรยายสรุปการผลิต scooter เริ่มตั้งแต่ช่วงปี1900 และปิดท้ายด้วยการคาดการณ์ถึงความ เป็นไปได้ในอนาคตของ scooter จุดกำเนิด scooter (scooter origins)

10 สุดยอดรถมอเตอร์ไซค์


นี่คือรถจักรยานยนต์ทั้ง 10 คันจาก 9 บริษัทผู้ผลิตที่ได้รับการโหวตว่าพวกมันคือสุดยอดตลอดกาลของโลกแห่งรถสองล้อติดเครื่องยนต์...

จักรยานยนต์สองล้อ เป็นพาหนะในการเดินทางที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้มานานกว่า 100ปีแล้วตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของการประดิษฐ์เครื่องจักรกลเพื่อการเคลื่อนที่ ของมนุษย์มาจนถึงยุคปัจจุบันรถมอเตอร์ไซค์ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของผู้คน ที่ต้องการพาหนะในการเดินทางที่มีราคาไม่แพง เล็กกระทัดรัด ประหยัดเชื้อเพลิงและบำรุงรักษาได้ง่ายกว่ารถยนต์กาล เวลาได้เดินทางมาจนถึงยุคที่รถจักรยานยนต์กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ใน ชีวิตประจำวันของผู้คนจากรถมอเตอร์ไซค์ราคาถูกเครื่องยนต์ขนาดจิ๋วไปจนถึง ของเล่นราคาแพงของเหล่าเศรษฐีคนมีตังค์ และนี่คือรถสองล้อติดเครื่องยนต์ทั้ง 10คันในแต่ละยุคสมัย ที่มีความยอดเยี่ยมจนได้รับการบันทึกเอาไว้ว่ามันคือรถจักรยานยนต์ที่ดีที่ สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น



Harley Davidson Knucklehead 1935




อันดับที่10
HarleyDavidson ทำให้วงการรถมอเตอร์ไซค์ต้องตะลึง เมื่อทำการเปิดตัว EL 61หรือที่รู้จักกันในนาม Knucklehead เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของระบบวาล์วแบบใหม่ล่าสุดในยุคนั้นนักเลงมอเตอร์ไซค์ ต่างพากันประทับใจ ในขณะที่เครื่องยนต์ Side-Valveคือเครื่องยนต์ที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานแบบ Big V-Twinsซึ่งต่อมากลายเป็นสไตล์ของรถจักรยานยนต์จาก Harleys Davidsonรถมอเตอร์ไซค์ Knucklehead มีการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมพลังของเครื่องยนต์เหนือกว่า และความสวยงามของรูปทรงทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจนขึ้นสู่ทำเนียบ จักรยานยนต์คลาสสิกของโลกเครื่องยนต์โอเวอร์เฮตวาว์ลให้พลัง 40 แรงม้าที่ 4,800 รอบต่อนาทีความเร็วสูงสุดประมาณ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง



Moto Guzzi V8 1955




อันดับที่9
รถจักรยานยนต์แบบแข่งขันในยุค 1950 ของยุโรปจากบริษัท Moto Guzziแห่งประเทศอิตาลี ได้จับเอาจินตนาการในการออกแบบจากสนามแข่งเพื่อให้มันสามารถทำความเร็วทั้ง ทางตรงและทางโค้งในสนามแข่งขันของรายการมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลก ในยุค 50 Moto Guzzi V8เป็นรถแข่งทางเรียบที่มีเครื่องยนต์ขนาด 500 ซี.ซี.ซึ่งสร้างพละกำลังได้อย่างเหลือเชื่อโดยเกิดจากมันสมองอันอัจฉริยะของ วิศวกรชาวอิตาเลียนชื่อ Guiliano Carcanoในช่วงปี ค.ศ. 1955-1957 รถมอเตอร์ไซค์MotoGuzzi V8 ถูกพัฒนาจนสามารถทำลายสถิติจากการแข่งขันรถจักรยานยนต์ในรุ่นGP ในปี ค.ศ. 1957และคว้าตำแหน่งชนะเลิศโดยมีความเหนือกว่าทั้งเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ และแรงม้าที่มีมากกว่ารถจักรยานยนต์จากผู้ผลิตรายอื่น เช่นเยอรมัน, อังกฤษและรถเพื่อนร่วมชาติร่วมสายพันธุ์อย่างอิตาลี การแข่งขันในครั้งนั้นเครื่องยนต์ V8 500 ซี.ซี. ขนาดเล็กของมันก็สามารถบรรลุความเร็วอันน่าขนหัวลุกที่ 187 ไมล์ต่อชั่วโมงในรอบเครื่องยนต์ที่สูงถึง 12,500 รอบต่อนาทีบนน้ำหนักของตัวรถทั้งคันที่หนักแค่ 135 กิโลกรัมเท่านั้นการออกแบบระบบจ่ายเชื้อเพลิงพิเศษสำหรับเครื่องยนต์โดยใช้ คาร์บูเรเตอร์ของ Dell'Orto ในจำนวนถึง 4 ตัวทำให้การป้อนเชื้อเพลิงและอากาศปริมาณมากๆ เข้าสู่เครื่องยนต์แล้วกลั่นออกมาเป็นแรงม้า และแรงบิดอันท่วมท้นมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือชัยชนะในสนามแข่งขัน



Vespa 1946-2010




อันดับที่8
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และประเทศอิตาลีอยู่ในสถานะแพ้สงครามบริษัท Piaggio ที่แต่เดิมมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือและชิ้นส่วนของเครื่องบินรบในกองทัพ ต้องหันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายๆเพื่อความอยู่รอด จึงหันมาผลิตเครื่องยนต์ขนาดเล็กของรถจักรยานยนต์และเกิดความคิดที่สร้างยาน พาหนะคันเล็กๆ เอาไว้เดินทางขนส่งในอิตาลีซึ่งมีถนนหนทางในเมืองใหญ่ ที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยเล็กๆด้วยการใช้เศษซากอลูมิเนียมจากชิ้นส่วนของ เครื่องบินมาขึ้นรูปจนออกมาเป็นสกู๊ตเตอร์ หรือรถจักรยานยนต์คันเล็กๆ ที่มีล้อต่ำ(ล้อของรถVespaในยุคแรกเริ่มยังคงใช้ล้อหลังของเครื่องบินที่ถูก นำมาดัดแปลง แล้วติดตั้งเข้าไป)ช่วยในการขับขี่ ไม่สิ้นเปลืองน้ำมัน และมีราคาขายไม่แพงจนเกินไปเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 รถเวสป้ารุ่น MP6ก็ถูกผลิตออกมาด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่เน้นความสะดวกสบายมีล้ออะไหล่ พร้อมยางที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังการออกแบบเพื่อให้ขับขี่ได้ง่ายเสียงของ เครื่องยนต์ดังคล้ายกับฝูงตัวต่อที่กำลังบิน มันจึงถูกตั้งชื่อว่าVespa ซึ่งแปลว่า "ตัวต่อ" ในภาษาอิตาเลี่ยนนั่นเอง รุ่นแรกของมอเตอร์ไซค์Vespa เป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดเล็ก ที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบชั้นเดียวหลังจากผลิตรถรุ่นดังกล่าวได้ประมาณ 100 คันจึงลงมือผลิตรุ่นที่ใช้ชื่อว่า Vespa (Wasp) ตามออกมารถรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามาก ทั้งในด้านรูปทรงและด้านวิศวกรรมซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของ Vespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาดจนถึงกลางทศวรรษ 1990 สกู๊ตเตอร์รุ่นแรกมีขนาดเครื่องยนต์เพียง 98 ซี.ซี.ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125 ซี.ซี. 150 ซี.ซี. และ 200 ซี.ซี.ตามลำดับ



Brough Superior SS 8 1925




อันดับที่7
นี่คือรถจักรยานยนต์คุณภาพสูงจากความคิดในการสร้างสรรค์ของชายชาวอังกฤษ ชื่อGeorge Brough ซึ่งทำหน้าที่วิศวกรของโรงงานผลิตเครื่องจักร์กล เช่นรถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ในเมือง Nottingham ประเทศอังกฤษ ในช่วงปีค.ศ.1919-1940 รถจักรยานยนต์ Brough Superior SS 8 ถูกเปรียบเทียบว่ามันคือRolls-Royceในโลกของมอเตอร์ไซค์สองล้อโดยนิตยสารรถ จักรยานยนต์ชั้นนำในยุโรปรถจักรยานยนต์ Brough Superior SS 8 ถูกผลิตเพียง 3,048 คัน ใน 19 แบบจากช่วงเวลาของอายุไขในการผลิต 21 ปี George Brough เป็นทั้งนักแข่งวิศวกร และนักออกแบบ ทำให้การสร้างรถจักรยานยนต์ Brough Superiorมีประสิทธิภาพและคุณภาพที่เหนือกว่ารถจักรยานยนต์อื่นๆ ในยุค 1920-1940การประกอบรถจักรยานยนต์ Brough Superior SS 8แต่ละคันมีความละเอียดปราณีตสูงมากจนสามารถเทียบได้กับการประกอบรถยนต์ของ บริษัท Rolls-Royce เลยทีเดียวชิ้นส่วนทุกชิ้น สำหรับองค์ประกอบทั้งหมดของตัวรถจะถูกสร้างขึ้นตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามที่ ต้องการแล้วลงมือประกอบทีละส่วนจนเสร็จ มอเตอร์ไซค์ Brough Superior SS 8 ทุกคันจะถูกทดสอบอีกหลายครั้ง หลังจากขั้นตอนในการผลิตและทดสอบเสร็จสิ้นลงมันจะถูกประทับตราโดยใช้ชื่อของ George Brough เพื่อการรับประกันตัวรถสามารถทำความเร็วได้กว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ160กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ความเร็วประมาณ 90 ไมล์ต่อชั่วโมงผู้ขับขี่สามารถปล่อยมือจากคันบังคับได้อย่างสบายซึ่งแสดงให้ เห็นถึงความเสถียรของตัวรถและทำให้มันกลายเป็นรถจักรยานยนต์ที่แพงที่สุดใน ยุค 1920-1930ในปัจจุบันนี้ รถมอเตอร์ไซค์ Brough Superior SS 8 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า40,000 เหรียญ และขึ้นสู่ทำเนียบจักรยานยนต์คลาสสิกตลอดกาลทั้งจากสมถรรนะและความหายากของ มัน



Britten V1000 1995




อันดับที่ 6
Brittenคือรถจักรยานยนต์ที่เกิดจากความฝันและแรงบันดาลใจของ John Brittenชายชาวอเมริกันผู้ซึ่งรักความเร็วและการแข่งขันจักรยานยนต์เป็นชีวิต จิตใจJohn Britten มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเพื่อสร้างเอกลักษณ์และสมถรรนะอันสุดยอดของรถ มอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขันและทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆซึ่งต่อมากลายเป็น สิ่งที่ดีที่สุดในโลกแห่งกีฬามอเตอร์สปอร์ตสองล้อ รถV1000 เป็นชัยชนะของความเฉลียวฉลาด และความเพียรในการคิดค้นออกแบบและสร้างสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อใช้ในการแข่งขัน รถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกBritten V1000 คือแบบอย่างทางวิศวกรรมขั้นสูงแต่ใช้ทุนวิจัยไม่มากเท่ากับรถจักรยานยนต์ที่ ใช้ในการแข่งขันของทีมแข่งจากค่ายผู้ผลิตอื่นๆ ทั้งญี่ปุ่นและอิตาลีซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณในการพัฒนามากกว่า หลายเท่ากระบวนการผลิตรถ Britten V1000 เกิดขึ้นในบริเวณสวนหลังบ้านของ JohnBirtten เอง ซึ่งดัดแปลงเป็นโรงงานขนาดเล็กเฟรมตัวถังใช้วัสดุประเภทคาร์บอนคอมโพสิต น้ำหนักเบาแขนอามส์หลังแบบเดี่ยวขนาดใหญ่ทำจากเคฟล่าเครื่องยนต์สี่จังหวะ ปริมาตรความจุ 985 ซี.ซี. วางทำมุม 60 องศาแบบ V-Twin155 แรงม้า บนน้ำหนักตัวที่เบาหวิวเพียง 145 กิโลกรัมหลังจากประสบความสำเร็จในสนามแข่งทั่วสหรัฐอเมริกา John Brittenวิศวกรเจ้าของแนวคิด เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในปี 1995 ด้วยวัยเพียง 45ปี คงเหลือทิ้งไว้แต่เพียงตัวรถต้นแบบ ที่ต่อมาทีมรถแข่งชั้นนำทั่วโลกนำเอาแบบอย่างของมันมาใช้จนถึงทุกวันนี้




Triumph Bonneville 1959



อันดับที่5
นี่คือมอเตอร์ไซค์สุดคลาสสิกในยุค 1960 ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจากประสิทธิภาพ รูปแบบ และพลัง การออกแบบที่คำนึงถึงการขับขี่และความเชื่อมโยงระหว่างนักบิดและตัวรถ ที่สอดประสานกันเป็นอย่างดีเมื่อติดเครื่องยนต์ขนาด 650 ซี.ซี. รถ Triumph Bonnevilleจะสั่นสะท้านเป็นเจ้าเข้าทรงทั้งคันซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการประ กอบตัวรถจากโรงงานแต่เกิดจากพลังของเครื่องยนต์และการคำนวนรูปแบบของเฟรมที่ ยึดเครื่องยนต์และตัวถังเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้มันมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือน ใคร เครื่องยนต์สี่จังหวะ 3 สูบ 46แรงม้า ที่เร่งความเร็วได้ถึง 115 ไมล์ต่อชั่วโมง ความแข็งแกร่งทนทานบวกกับพละกำลังและรูปทรงที่งดงามของจักรยานยนต์ในสไตล์ อังกฤษ ทำให้รถBonneville ทุกรุ่นทุกคัน ยังคงได้รับความนิยมชมชอบจนถึงทุกวันนี้



Y2K Jet Engine 2008




อันดับที่ 4
รถมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ Turbo Jet คันนี้เป็นของเล่นราคาสุดแพงของเศรษฐีบ้าพลังมีต้นกำเนิดของกำลังเป็น เครื่องยนต์ Rolls-Royce Allison Gas TurbineTurboshaft 500P ที่ติดตั้งอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ของทหารทำให้มันเป็นรถจักรยานยนต์ล้อสองคันแรก ของโลกที่มีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนแบบกังหันไอพ่น Y2K Jet Engineสร้างโดยวิศวกรเครื่องกลชื่อ Ted McIntyre แห่งบริษัท Marine TurbineTechnologies Inc รถจักรยานยนต์สุดระห่ำคันนี้มีความเร็วสูงสุดซึ่งถูกบันทึกในสถิติโลกที่ 227 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 365กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีป้ายบอกราคาเป็นตัวเลขที่แพงระยับถึง 150,000 US$ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่ามันคือ"รถจักรยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพและแพงที่ สุดคันหนึ่งของโลก"โดยการใช้เครื่องยนต์และเฟรมแตกต่างจากรถจักรยานยนต์คัน อื่นๆอย่างสิ้นเชิง การขับขี่และควบคุมตัวรถเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากกำลังที่เกิดจาก เครื่องยนต์สามารถผลักดันตัวรถจนขึ้นถึงจุดสูงสุดของความเร็วจนแทบจะควบคุม ไม่ได้ท่อท้ายปลดปล่อยก๊าซร้อนที่เกิดจากการสันดาปมีอุณหภูมิสูงถึง 900องศาเซลเซียสและอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปสู่ความเร็วสูงสุดเพียงชั่ว พริบตาคงมีแต่พวกสติไม่ค่อยดีและพวกบ้าความเร็วเท่านั้นที่จะยอมจ่ายเงิน จำนวนมหาศาล เพื่อแลกกับความบ้าที่ไม่เหมือนใครอย่างรถมอเตอร์ไซค์ Y2K เจ้าวัตถุอันตรายติดเครื่องยนต์เจ็ทที่วิ่งได้ดีเยี่ยม และทำความเร็วทางตรงได้อย่างไม่มีที่ติแต่ไม่สามารถเลี้ยวมันที่ความเร็ว สูงๆเนื่องจากอาจเกิดการพลิกคว่ำอย่างรุนแรงได้



Honda CB750 1969




อันดับที่ 3
Hondaบริษัทของญี่ปุ่น นำรถจักรยานยนต์รุ่น CBไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปในปี 1969หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กที่ทำยอดขายถล่มทลาย ไปทั่วโลก วิศวกรของ Hondaได้ทำการพัฒนารูปแบบและสมรรถนะของเครื่องยนต์ขนาด 4 กระบอกสูบปริมาตรความจุ 750 ซี.ซี.โดยกำหนดคุณสมบัติของเครื่องยนต์ให้มีความแข็งแกร่งทนทาน ให้พลังสูงสุดที่67 แรงม้า บริษัท Honda วางแผนที่จะเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ให้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของโลก ในด้านคุณภาพและปริมาณเพื่อทำให้แบรนด์มีคุณภาพและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับค่ายรถจักรยานยนต์ชั้นนำอย่างTriumph, BMW, และ Harleyเพื่อเป็นพื้นฐานในการออกแบบมอเตอร์ไซค์ให้กับผู้ขับขี่ในทุกระดับ ชั้น รถHonda CB 750 1969เชื่อมโยงรูปแบบของจักรยานยนต์ที่สวยงามกับงานของตัวรถแข่งในแบบ Grand Prix
นอกจากนี้ตำแหน่งมือจับจะยกขึ้นเล็กน้อย และการเน้นไปที่เรื่องของ Dynamicเพื่อการขับขี่ทางไกล ผลผลิตของรถมอเตอร์ไซค์ Honda CB750คืองานทางเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อให้มันมีปริมาณการผลิตที่ครอบคลุม การจำหน่ายไปยังตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วโลกและการบำรุงรักษาที่ง่ายดายสำหรับ เจ้าของเนื่องจากความทนทานของเครื่องยนต์ 750 ซี.ซี. สี่ลูกสูบเรียง ถูกออกแบบให้มีความสมดุลย์ในระหว่างการทำงานทุกช่วงรอบของเครื่องอัตราเร่ง จาก 0-100 กิโลเมตรใน 7 วินาที มีความทนทานแข็งแกร่งสามารถใช้งานได้นานถึง 100,000 กิโลเมตรโดยแทบไม่ต้องดูแลรักษาอะไรเพิ่มเติมมากนักทำให้มันกลายเป็นผู้นำ ของรถจักรยานยนต์ในยุค 1970 ไปโดยปริยาย



Ducati 916 1995




อันดับที่ 2
Ducati916 เป็นรถจักรยานยนต์อิตาลี ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักคือการเข้าร่วมทำการแข่งขันในสนามแข่ง มอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์ไบค์ ชิงแชมป์โลกการพัฒนารถจักรยานยนต์ในตระกูล Racing ของค่าย Ducatiนำไปสู่การพัฒนาเครื่องยนต์สี่วาล์ว Fabio Taglioni (1920-2001)หัวหน้าแผนกทีมดีไซน์ ผู้ออกแบบตัวรถ Ducati ตั้งแต่ยุค 1970ใช้เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงและพัตนาในรุ่น SuperSport (SS)หลังจากผ่านการใช้งานในสนามแข่ง เครื่องยนต์ Ducati 916 อันทันสมัยก็กลายเป็นอนุพันธ์ของรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขันแทบทั้ง สิ้นชุดแคมชาร์ปแบบใหม่ ลิ้น และทางเดินของอากาศ ปรับปรุงระบบสปริงวาล์วDucati 916 เริ่มต้นเปิดเผยโฉมในปี 1994 และได้รับเสียงชื่นชมเป็นอันมากเพราะการออกแบบ และคุณลักษณะทางเทคนิคที่โดดเด่น Massimo Tamburini และSergio Robbiano ทีมงานออกแบบเฟรมและวิศวกรพัฒนาเครื่องยนต์ของ Ducati 916โดยใช้โรงงานของ Cagiva และศูนย์วิจัยเครื่องยนต์ในซานมารีโนโดยโครงสร้างและเครื่องยนต์ของ 916ได้รับการปรับปรุงจนตัวรถขึ้นสู่สมถรรนะสูงสุด Ducati 916ใช้เครื่องยนต์สี่จังหวะ วางทำมุม 90 องศาแบบ L-Twin Cylinder ความจุ 996ซี.ซี. ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮตแคมสี่วาล์วต่อสูบระบายความร้อนด้วยน้ำสร้างพละกำลังได้ 144 แรงม้าที่ 12,000 รอบ/นาที ความเร็วสูงสุดประมาณ 315กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนน้ำหนักตัวรถ 157 กิโลกรัมสามารถคว้าชัยชนะให้กับทีมแข่งมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน



Honda C50 Cub 1958




อันดับที่ 1
รถจักรยานยนต์ Honda Cup เป็นรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กเครื่องยนต์ 50 ซี.ซี.มีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยโครงสร้างของตัวรถที่ต่ำทำ ให้การก้าวขึ้นและลงจากรถได้อย่างสะดวกสบาย รวมทั้งขับขี่ง่ายโดยไม่ต้องควบคุมคลัทช์ด้วยการติดตั้งระบบคลัทช์อัตโนมัติ แบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง (centrifugalclutch)นอกจากนั้นยังติดตั้งบังลมพลาสติกขนาดเหมาะกับตัวรถ เพื่อป้องกันแรงลมและการกระเด็นของสิ่งสกปรกในขณะขับขี่รวมถึงตระกร้าใส่ของ ใบเล็กด้านหน้าของตัวรถ รถจักรยานยนต์ตระกูล Cup ของHonda เปิดตัวเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 1958ปัจจุบันรถจักรยานยนต์รุ่นนี้มียอดจำหน่ายทั่วโลกมากถึงกว่า 60 ล้านคันแสดงให้เห็นถึงความนิยมและความยอดเยี่ยมคุ้มค่าสมราคากับสมถรรนะของ ตัวรถแบบง่ายๆ แต่มีความคงทนถาวร ระบบต่างๆของตัวรถถูกออกแบบให้มีความง่ายในการบำรุงรักษากลไกของเครื่องยนต์ และระบบเกียร์ รวมถึงระบบระบายความร้อนด้วยอากาศสามารถใช้งานได้ในทุกพื้นที่ของโลก ค่าย Hondaได้ค้นพบวิธีเพิ่มพลังและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ 4 จังหวะด้วยการเพิ่มความเร็วรอบของเครื่องยนต์ (RPM) ให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย HondaC50 Cup มีเครื่องยนต์สี่จังหวะ 50 ซี.ซี. โอเวอร์เฮตแคมชาร์ป 4.8 แรงม้ามีความเร็วสูงสุดแบบแม่บ้านจ่ายกับข้าวที่ 75 กิโลเมตร/ชั่วโมงทำให้มันกลายเป็นอันดับหนึ่งในประเภทรถจักรยานยนต์ที่มีผู้ นิยมชมชอบมากที่สุดในโลก

Saturday, June 11, 2011

มินิไบค์ KSR เคเอสอาร์

มินิไบค์ KSR เคเอสอาร์

KSR 110 มินิไบค์...มีทะเบียน...ขี่เที่ยว...ขี่ใช้งานได้...!!!
สำหรับเจ้ารถร่างเล็กอย่าง KSR ของค่ายแตนเขียว ที่ส่งออกมาปูตลาดรถมอเตอร์ไซค์เมืองไทย แต่ติดตรงที่ราคาค่าตัวที่ค่อนข้างสูงไปสักนิด ...
http://www.grandprixgroup.com/new/magazine/motorcycle/detail.asp?Column_Name=Road%20Test&Detail_Id=2769

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=106471



รถมอเตอร์ไซด์ Mini Bike , ชาลี , monkey , KSR - รถคลาสสิค รถโบราณ ...
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน รถมอเตอร์ไซด์ รถคลาสสิค แฟชั่นย้อนยุค vespa64.
http://www.siamclassicclub.com/index.php/2010-08-12-07-14-08/53--mini-bike----monkey--ksr.html

Thursday, June 9, 2011

2012 Honda Gold Wing Review

2012 Honda Gold Wing Review

2012 Honda Gold Wing Unveiled
2012 Honda Gold Wing Unveiled, Motorcycle.com review, ... Honda has 2012 Gold Wing pricing currently set at $23199 to $28499 depending on ...
http://www.motorcycle.com/manufacturer/honda/2012-honda-gold-wing-unveiled-90438.html

http://www.motortrendinformations.com/2012-honda-gold-wing-new-release



The Honda Gold Wing is a veritable icon among touring motorcycles, offering an unrivaled blend of two-up luxury conveyance and a level of sporting prowess unheard of from a 900-pound bike. It's a combo of capabilities that hasn't been matched by any other touring bike. More than 640,000 GLs have been sold since its introduction way back in 1975, becoming an American-made motorcycle in 1980 with the GL1100 model that was built in Marysville

Sunday, June 5, 2011

มอเตอร์ไซค์เวสป้า

1.มอเตอร์ไซค์เวสป้า
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Piaggio ที่แต่เดิมมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือและส่วนเครื่องบิน หันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายในแบบ Four - Part P 108 ให้กับรถเวสป้า ที่โรงงาน Pontedera จึงเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะเล็กๆไว้เดินทางขนส่งและสำรวจใน โรงงานคือ MP5 หรือโดนัลดัค ซึ่งในรุ่นนี้ทำจากซากชิ้นส่วนของเครื่องบิน มันคือสกู๊ตเตอร์ หรือ รถจักรยานยนต์คันเล็กๆ ที่มีล้อต่ำๆ ช่วยต่อการขับขี่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและราคาไม่แพง
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่สะดวกสบาย มีล้ออะไหล่ซึ่งขับขี่แบบง่ายๆ ถ้าในเวลาขับขี่รถติดก็มีที่กำบังกันน้ำกระเด็นใส่ Enrico ได้ฟังเสียงรถ MP6 เขาร้องออกมาว่า"มันเหมือนตัวต่อร้องเลย" ตั้งแต่นั้นมา Enrico ก็เลยให้ชื่อเสียงเรียงนามเรียกรถนี้ว่า Vespa ซึ่งแปลว่าตัวต่อ (Wasp)
รุ่นแรกเป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบชั้นเดียว หลังจากผลิตรถรุ่นดังกล่าวได้ประมาณ 100 คัน จึงลงมือผลิตรุ่นที่ใช้ชื่อว่า Vespa (Wasp) ออกมา รถรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามากทั้งในด้านรูปทรงและด้านวิศวกรรม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของ Vespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาดจนถึงกลางทศวรรษ 1990 สกู๊ตเตอร์รุ่นแรกมีขนาดเครื่องยนต์เพียง 98 cc. ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125 cc., 150 cc. และ 200 cc. ตามลำดับ
ในประเทศไทย Piaggio Group มีตัวแทนจำหน่ายรถเวสป้า ดำเนินธุรกิจโดย บริษัท ไทยเจริญ อะไหล่ยนต์ จำกัด[

มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์

2.มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์
  Bigbike คือคำที่ใช้เรียกรถมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดใหญ่กว่ารถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆไปหรือที่เรียกกันจนติดปากว่า สี่สูบ ขนาดของมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดใหญ่ในที่นี้คือขนาดของเครื่องยนต์ เฟรม ล้อและยางของรถ รถที่เรียกว่าBigbikeจะมีความจุของเครื่องยนต์ตั้งแต่ 250 cc ขึ้นไปจนถึง 2400 cc ซึ่งในแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็จะมีรูปแบบของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่แตกต่างกันออกไปซึ่งจะมีตั้งแต่สูบเดี่ยว ถึง 6 สูบ และจัดวางอยู่ในรูปแบบของสูบเรียงและสูบV ในส่วนระบบส่งกำลังก็จะมีตั้งแต่ระบบที่ใช้โซ่ ใช้เพลาขับ และใช้สายพาน เป็นต้น

มอเตอร์ไซค์มังกี้

3. มอเตอร์ไซค์มังกี้
  มอเตอร์ไซค์ มังกี้ หรือ เจ้าลิงน้อยทรงเพรียว มีประวัติความเป็นมาที่น่าทึ่งที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาและอัจฉริยะของชาว ญี่ปุ่นในการสร้างสรรค์ยนตกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ และมากด้วยประสิทธิภาพการขับขี่ที่ไม่น้อยหน้าซีกโลกตะวันตก
เรื่องราวของเจ้าลิงน้อยมังกี้เริ่มต้นในปีค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) ในโรงงานผลิตมอเตอรไซค์ฮอนด้า ประเทศญี่ปุ่นโดย ที่พนักงานในโรงงานได้นำเครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตอยู่ในสายการผลิตมาลองใส่ในตัวถังขนาดเล็กที่ทำขึ้นมา ใหม่เพื่อทำให้เป็นมอเตอร์ไซค์ขนาดจิ๋วย่อส่วนไว้ขับขี่ในยามว่าง หรือนำพาติดรถไปขับขี่พักผ่อนนอกสถานที่ได้ โดยนำเอาเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาด 50 ซีซี ,ไฟส่องทาง,ชุดคันเร่ง.มือเบรค จากฮอนด้าคันใหญ่มาใช้ ส่วนตัวโครงและชิ้นส่วนโลหะอื่น ๆ ใช้เศษโลหะที่เหลือจากการผลิตมอเตอร์ไซค์คันใหญ่มาทำ แล้วตกแต่งให้สวยงามโดยให้สีตัวโครงเป็นสีแดง ถังน้ำมันสีขาว ตัดกันอย่างลงตัว แล้วใส่ล้อจิ๋วขนาดเล็กเพียง 5 นิ้ว แล้วตั้งชื่อมอเตอร์ไซค์คันน้อยนี้ว่ารุ่น “แซด ร้อย” Z100 ในเวลานั้นยังไม่มีใครนึกถึงชื่ออื่น